แบบจำลองของโอลิวา
โอลิวา (oliva) ได้แสดงแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของตน
เพื่อให้บรรลุเกณฑ์สามประการคือ
ประการแรก แบบจำลองจะต้องเรียบง่าย
(simple) มีความครอบคลุมกว้างขวาง(comprehensive) และมีความเป็นระเบียบ (systematic) ซึ่งประกอบด้วย 6
ขั้นตอนคือ หนึ่งประพจน์ของปรัชญา (statement of philosophy) สองประพจน์ของเป้าประสงค์ (statement
of goals) สามประพจน์ของจุดประสงค์ (statement of objectives) สี่การออกแบบของแผน
(besign of plan) ห้านำไปใช้ปฏิบัติ (implementation) และสุดท้ายการประเมินผล
แม้ว่าแบบจำลองนี้จะเป็นตัวแทนขององค์ประกอบที่จำเป็นที่สุด
แต่ก็พร้อมที่จะขยายไปสู่แบบจำลองที่ขยายแล้ว ซึ่งมีรายละเอียดเพิ่มเติมผนวกเข้าไป และแสดงกระบวนการบางอย่างซึ่งปรับจากแบบจำลองเดิม แบบจำลองโอลิวาที่ขยายแล้วมี 12
องค์ประกอบปรากกฎ ดังภาพ ประกอบ
ลักษณะสำคัญของแบบจำลองนี้คือ
เส้นของข้อมูลป้อนกลับ (feedback lines) ซึ่งเป็นวงจรย้อนกลับจากการประเมินผลหลักสูตรไปยังเป้าประสงค์ของหลักสูตร
และจากการประเมินผลการเรียนการสอนไปยังเป้าประสงค์ของการเรียนการสอน
เส้นเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการแก้ไขปรับปรุงองค์ประกอบของแต่ละวงจรย่อยอย่างต่อเนื่อง
การใช้แบบจำลอง แบบจำลองนี้สามารถนำไปใช้ได้อย่างหลากหลาย
ทิศทางแรกแบบจำลองนี้ได้เสนอกระบวนการพัฒนาหลักสูตรที่สมบูรณ์ของโรงเรียน
สาขาวิชาต่างๆ ในแต่ละสาขา เช่น ศิลปะภาษา
ก็จะสามารถพัฒนาหลักสูตรโดยอาศัยแบบจำลองนี้ได้ แผนสำหรับหลักสูตรในสาขาวิชานี้และการออกแบบวิธีการใช้หลักสูตรด้วยการจัดการเรียนการสอน
หรือ แต่ละสาขาวิชาอาจพัฒนาโปรแกรมสหวิทยาการของโรงเรียน
แบบจำลองย่อยสองแบบ แบบจำลองทั้งสิบสองระยะที่กล่าวถึงนี้เป็นการบูรนาการผสมผสานแบบจำลองทั่วไปสำหรับการพัฒนาหลักสูตร
กับแบบจำลองทั่วไปสำหรับการเรียนการสอน องค์ประกอบที่ (I-V และ XII) ประกอบด้วยแบบจำลองย่อยของการพัฒนาหลักสูตรซึ่ง
โอลิวา อ้างว่า
เป็นแบบจำลองย่อยของหลักสูตร องค์ประกอบที่ VI-XI ประกอบด้วยแบบจำลองย่อยของการเรียน
การสอน ในการแยกความแตกต่างระหว่างองค์ประกอบของหลักสูตรและองค์ประกอบของการเรียน การสอน
โอลิวาได้ใช้เส้นประสำหรับแบบจำลองย่อยของการเรียนการสอน
เมื่อไม่มีการแบบจำลองย่อย (sub
model) ของหลักสูตร
โอลิวาได้จัดเตรียมรายการของขั้นตอนโดยเรียงลำดับดังนี้
1.
ระบุความต้องการจำเป็นของนักเรียนโดยทั่วๆ ไป
2. ระบุความต้องการของสังคม
3.
เขียนประพจน์ของปรัชญาและความมุ่งหมายของการศึกษา
4.
ระบุความต้องการจำเป็นของนักเรียนในโรงเรียน
5.
ระบุความต้องการจำเป็นของชุมชนเฉพาะ
6. ระบุความต้องการจำเป็นของเนื้อหาวิชา
7.
ระบุเป้าประสงค์ของหลักสูตรในโรงเรียน
8.
ระบุจุดประสงค์ของหลักสูตรในโรงเรียน
9.
จัดหลักสูตรและนำไปใช้
10.
ระบุเป้าประสงค์การเรียน
11.
ระบุจุดประสงค์การเรียนนำกลยุทธ์การเรียนการสอน
12.
เลือกกลยุทธ์การเรียนการสอน
13.
เริ่มต้นเลือกกลยุทธ์การประเมินผล
14.
นำกลยุทธ์การเรียนการสอนไปปฏิบัติ
15.
เลือกกลยุทธ์การเรียนการสอนขั้นสุดท้าย
16.
ประเมินผลการเรียนการสอนและปรับปรุงขององค์ประกอบของการเรียนการสอน
17.
ประเมินผลหลักสูตรและปรับปรุงองค์ประกอบของหลักสูตร
ความเหมือนและความต่างของแบบจำลองต่างๆ
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรที่ได้อภิปรายมาแล้ว
เผยให้เห็นทั้งความเหมือนและความต่าง ไทเลอร์ บาทา และคนอื่นๆ
ได้กำหนดสังเขปลำดับขั้นตอนในการดำเนินการพัฒนาหลักสูตร ส่วนเซเลอร์ อเล็กซานเดอร์
และลีวีส ได้เขียนแผนภูมิองค์ประกอบของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร (การออกแบบ
การนำไปใช้ และการประเมินผล)
ในทางตรงกันข้ามกับการปฏิบัติของผู้ปฏิบัติหลักสูตรหรือโดยไม่คำนึงถึงการกระทำที่ผู้ปฏิบัติหลักสูตรจะต้องทำ
(การวินิจฉัยความต้องการจำเป็น การกำหนดจุดประสงค์ และอื่นๆ)
มโนทัศน์เกี่ยวกับแหล่งข้อมูลและตะแกรงการกลั่นกรองเป็นสิ่งที่โดดเด่นในแบบจำลองของไทเลอร์
ก่อนที่จะเลือกแบบจำลองหรือออกแบบจำลองใหม่ผู้วางแผนหลักสูตรอาจจะกำหนดเกณฑ์หรือคุณลักษณะที่ต้องการสำหรับการปรับปรุงหลักสูตร
เป็นที่ยอมรับกันว่า แบบจำลองโดยทั่วไปควรแสดงถึงสิ่งต่อไปนี้
1.
องค์ประกอบที่สำคัญของกระบวนการถึงระยะของการวางแผนการนำไปใช้และการประเมินผล
2.
ธรรมเนียมการปฏิบัติ แต่ไม่จำเป็นต้องตายตัว คือมีจุด “เริ่มต้น” และ “จบ”
3.
ความสัมพันธ์ระหว่างหลักสูตรและการเรียนการสอน
4.
ความแตกต่างระหว่างหลักสูตรและเป้าประสงค์และจุดประสงค์ของการเรียนการสอน
5.
ความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันระหว่างองค์ประกอบต่างๆ
6.
มีรูปแบบเป็นวงจรมากกว่าที่จะเป็นเส้นตรง
7.
มีเส้นการให้ข้อมูลป้อนกลับ
8.
มีความเป็นไปได้ที่จะเข้าไปในจุดใดจุดหนึ่งของวงจร
9.
มีความสอดคล้องภายในและมีตรรกะ
10.
มีความเรียบง่ายเพียงพอที่จะเข้าใจได้และทำได้
11.
มีการแสดงองค์ประกอบในรูปของไดอะแกรมหรือแผนภูมิ
เมื่อพิจารณาแบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรต่างๆ ทั้งแบบจำลองเชิงเหตุผลของไทเลอร์และบาทา
แบบจำลองวงจรของวีลเลอร์และนิโคลส์ และแบบจำลองที่ไม่หยุดนิ่ง
(หรือแบบจำลองปฏิสัมพันธ์) ของวอคเกอร์และสกิลเบค
ตลอดจนแบบจำลองของนักการศึกษาคนอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวแล้ว
แบบจำลองเหล่านี้มีขั้นตอนการปฏิบัติที่ไม่แตกต่างกันมากนัก ในส่วนที่แตกต่างกันคือ
บางแบบจำลองมีขั้นตอนละเอียดมากและแต่ละแบบจำลองก็มีขั้นตอนที่เป็นจุดร่วมที่เหมือนกันที่พอจะสรุปเป็นขั้นของการพัฒนาหลักสูตรที่ครอบคลุมได้ห้าขั้นตอน
คือ
1.
การกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
2.
การเลือกเนื้อหาวิชาและประสบการณ์
3.
การนำหลักสูตรไปปฏิบัติ
4.
การประเมินผลหลักสูตร
5.
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงหลักสูตร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น