การประเมินพัฒนาการ (U)
การประเมินพัฒนาการ หมายถึง
กระบวนการสังเกตพฤติกรรมของเด็กในขณะทำกิจกรรม
แล้วจดบันทึกลงในเครื่องมือที่ผู้สอนสร้างขึ้นหรือกำหนดอย่างต่อเนื่อง
เพื่อเปรียบเทียบพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกในแต่ละครั้ง
เป็นข้อมูลในการพัฒนากิจกรรมให้เด็กได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตามศักยภาพ
การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยเป็นกระบวนการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติตามตารางกิจกรรมประจาวัน
และครอบคลุมพัฒนาการของเด็กทุกด้าน ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม
และสติปัญญา เพื่อนาผลมาใช้ในการจัดกิจกรรม หรือประสบการณ์พัฒนาเด็กให้เต็มตามศักยภาพของแต่ละคน
ด้วยเหตุนี้มีผู้สอนซึ่งเป็นผู้ที่จะทาหน้าที่ประเมินพัฒนาการเด็กจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้
ความเข้าใจในพัฒนาการเด็กวัย ๔ - ๕ ปีเป็นอย่างดี
และต้องเข้าใจโครงสร้างของการประเมินอย่างละเอียดว่าจะประเมินเมื่อไหร่และอย่างไร
ต้องมีความสามารถในการเลือกเครื่องมือและวิธีการที่จะใช้ได้อย่างถูกต้อง
จึงจะทาให้ผลของการประเมินนั้นเที่ยงตรงและเชื่อถือได้
การประเมินพัฒนาการอาจทำได้หลายวิธี แต่วิธีที่ง่ายต่อการปฏิบัติและนิยมใช้กันมาก
คือ การสังเกต ซึ่งต้องทาอย่างต่อเนื่องและบันทึกไว้เป็นหลักฐานอย่างสม่าเสมอ
อาจกล่าวได้ว่าผู้สอนหรือผู้เกี่ยวข้องกับเด็กต้องคานึงถึงเรื่องต่างๆ ดังต่อไปนี้
หลักการประเมินพัฒนาการของเด็ก
๑. ประเมินพัฒนาการของเด็กครบทุกด้านและนำผลมาพัฒนาการเด็ก
๒. ประเมินเป็นรายบุคคลอย่างสม่าเสมอต่อเนื่องตลอดปี
๓. สภาพการประเมินควรมีลักษณะเช่นเดียวกับการปฏิบัติกิจกรรมประจาวัน
๔. ประเมินอย่างเป็นระบบ มีการวางแผน
เลือกใช้เครื่องมือและจดบันทึกไว้เป็นหลักฐาน
๕. ประเมินตามสภาพจริงด้วยวิธีการหลากหลายเหมาะกับเด็ก
รวมทั้งใช้แหล่งข้อมูลหลายๆด้าน ไม่ควรใช้การทดสอบ
ขั้นตอนการประเมินพัฒนาการ
การประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัย จะต้องผ่านขั้นตอนต่างๆ ดังต่อไปนี้
๑. ศึกษา และทำความเข้าใจพัฒนาการของเด็กในแต่ละช่วงอายุทุกด้าน
ได้แก่ ด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญา
ดังปรากฏในหลักสูตรการศึกษาเด็กปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๔๖ อย่างละเอียด
จึงจะทาให้ดำเนินการประเมินพัฒนาการได้อย่างถูกต้องและตรงตามความจริง
๒. วางแผนเลือกใช้วิธีการและเครื่องมือที่เหมาะสมสำหรับใช้บันทึกและประเมินพัฒนาการ
เช่น แบบบันทึกพฤติกรรมเหมาะที่จะใช้บันทึกพฤติกรรมของเด็ก การบันทึกรายวัน
เหมาะกับการบันทึกกิจกรรมหรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนทุกวัน
การบันทึกการเลือกของเด็กเหมาะสาหรับใช้บันทึกลักษณะเฉพาะหรือปฏิกิริยาที่เด็กมีต่อสิ่งต่างๆรอบตัว
เป็นต้น ดังนั้น
จึงเป็นหน้าที่ของผู้สอนที่จะเลือกใช้เครื่องมือประเมินพัฒนาการให้เหมาะสม
เพื่อจะได้ผลของพัฒนาการที่ถูกต้องตามความต้องการ
๓.ดำเนินการประเมินและบันทึกพัฒนาการ
หลังจากที่ได้วางแผนและเลือกเครื่องมือที่จะใช้ประเมินและบันทึกพัฒนาการแล้ว
ก่อนจะลงมือประเมินและบันทึกจะต้องอ่านคู่มือหรือคาอธิบายวิธีการใช้เครื่องมือนั้นๆ
อย่างละเอียด
แล้วจึงดำเนินการตามขั้นตอนที่ปรากฏในคู่มือและบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษรต่อไป
๔. ประเมินและสรุป การประเมินและสรุปนั้นต้องดุจากผลการประเมินหลายๆครั้ง
มิใช่เพียงครั้งเดียว หรือนำเอาผลจากการประเมินเพียงครั้งเดียวมาสรุป
อาจทำให้ผิดพลาดได้
ผลการประเมินดูได้จากผลที่ปรากฏในเครื่องมือประเมินและบันทึกพัฒนาการ เช่น
ประเมินการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ของเด็กอายุ ๓ ปี ปรากฏว่ายังเดินขึ้นบันไดสลับเท้าไม่ได้
ก็ต้องมาตีความว่ากาลังขาของเด็กยังมีไม่พอที่จะเดินสลับเท้าขึ้นบันได
อาจสรุปได้ว่าพัฒนาการกล้ามเนื้อใหญ่ยังไม่แข็งแรงเหมาะสมกับวัยต้องจัดกิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ส่วนขาต่อไป
๕. รายงานผล เมื่อได้ผลจากการประเมินและสรุปพัฒนาการของเด็กแล้ว
ผู้สอนจะต้องตัดสินใจว่าจะรายงานข้อมูลไปยังผู้ใด เพื่อจุดประสงค์อะไร
และจะต้องใช้รูปแบบใดสาหรับรายงาน เช่น ต้องรายงานผู้บริหารสถานศึกษา ผู้ปกครอง
เพื่อให้ทราบว่ากิจกรรมหรือประสบการณ์ที่สถานศึกษาจัดให้เด็กนั้น
ส่งเสริมพัฒนาการของเด็กแต่ละคนอย่างไร เป็นไปตามจุดประสงค์หรือไม่
เพื่อจะได้วางแผนช่วยเหลือเด็กได้ตรงตามความต้องการต่อไป
โดยสถานศึกษาจะมีสมุดรายงานประจาตัวเด็ก
ผู้สอนใช้สมุดรายงานนั้นเป็นเครื่องมือหรือแบบรายงานผู้ปกครองได้
และถ้าผู้สอนมีข้อเสนอแนะหรือจะขอความร่วมมือจากผู้ปกครองเกี่ยวกับการส่งเสริมพัฒนาการเด็กก็อาจจะเพิ่มเติมลงไปในสมุดรายงาน
และต้องคานึงไว้เสมอไม่ว่าจะใช้แบบรายงานใด
ข้อมูลควรจะมีความหมายเกิดประโยชน์แกเด็กเป็นสาคัญ
การบันทึกข้อความลงในสมุดรายงานประจาตัวเด็ก
ผู้สอนควรใช้ภาษาในทางสร้างสรรค์มากว่าในทางลบ
๖. การให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการประเมิน ผู้สอนต้องตระหนักว่าการทางานร่วมกับผู้ปกครองเกี่ยวกับการพัฒนาเด็กเป็นเรื่องสำคัญมาก
ผู้สอนควรยกย่องผู้ปกครองที่พยายามมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก
ผู้สอนจะต้องต้อนรับผู้ปกครองที่มาสถานศึกษา ขอบคุณสาหรับความร่วมมือ
เขียนจดหมายถึงผู้ปกครองเพื่อรายงานเรื่องเด็ก พูดคุยด้วยตนเองหรือทางโทรศัพท์
สิ่งเหล่านี้จะทำให้ผู้ปกครองรู้สึกถึงความสำคัญของตนเองและต้องการที่จะมีส่วนร่วมกับผู้สอนในการพัฒนาเด็กของตน การติดต่อสัมพันธ์อันดีกับผู้ปกครองควรจะเป็นการติดต่อสื่อสาร
๒ ทาง คือ จากสถานศึกษาไปสู่บ้านและจากบ้านมายังสถานศึกษา กระตุ้นให้ผู้ปกครองแสดงความคิดเห็นที่มีประโยชน์ต่อการจัดประสบการณ์ให้แก่เด็ก
เพราะผู้ปกครองจะให้ข้อมูลที่ถูกต้องเกี่ยวกับตัวเด็กซึ่งผู้สอนสามารถนาไปใช้เป็นพื้นฐานในการจัดกิจกรรมที่เหมาะสมเพื่อพัฒนาเด็กทุกคนได้เป็นอย่างดีสาหรับการติดต่อกับผู้ปกครองอาจทาได้หลายวิธีเช่น
การติดต่อด้วยวาจา ได้แก่ การสนทนาด้วยตนเอง ทางโทรศัพท์ การเยี่ยมบ้าน
การประชุมผู้ปกครอง การติดต่อด้วยวิธีอื่น เช่น ปูายติดประกาศ วารสาร ข่าวสาร
ตู้รับฟังความคิดเห็น เป็นต้น
นอกจากนี้อาจให้ผู้ปกครองอาสาสมัครมาช่วยงานผู้สอนในสถานศึกษา เช่น เล่านิทาน
ร้องเพลงและอ่านหนังสือให้เด็กฟัง ช่วยในเวลาเด็กทำกิจกรรมเสรี ช่วยสังเกตเด็ก
บันทึกพัฒนาการและอื่นๆอีกมากมายที่จะก่อให้เกิดประโยชน์แก่เด็ก
ซึ่งสถานศึกษาควรเปิดโอกาสให้ผู้ปกครองมีส่วนร่วมในการทางานกับผู้สอนเป็นอย่างยิ่ง
วิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการประเมินพัฒนาการเด็ก
ในการสรุปผลการประเมินพัฒนาการเด็กปฐมวัยแต่ละครั้ง
ควรใช้วิธีการประเมินอย่างหลากหลาย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่สมบูรณ์ที่สุด
วิธีการที่เหมาะสมและนิยมใช้ในการประเมินเด็กปฐมวัย มีด้วยกันหลายวิธี ดังต่อไปนี้
๑. การสังเกตและการบันทึกการสังเกตมีอยู่ ๒ แบบ คือ การสังเกตอย่างมีระบบ
ได้แก่ การสังเกตอย่างมีจุดมุ่งหมายที่แน่นอนตามแผนที่วางไว้
และอีกแบบหนึ่งคือการสังเกตแบบไม่เป็นทางการ
เป็นการสังเกตในขณะที่เด็กกาลังทากิจกรรมประจาวันและเกิดพฤติกรรมที่ไม่คาดคิดว่าจะเกิดขึ้น
และผู้สอนจดบันทึกไว้ การสังเกตเป็นวิธีการที่ผู้สอนใช้ในการศึกษาพัฒนาการของเด็ก
เมื่อมีการสังเกตก็ต้องมีการบันทึก ผู้สอนควรทราบว่าจะบันทึกอะไร
การบันทึกพฤติกรรมมีความสาคัญอย่างยิ่งที่ต้องทาอย่างสม่าเสมอ
เนื่องจากเด็กเจริญเติบโตและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
จึงต้องนามาบันทึกเป็นหลักฐานไว้อย่างชัดเจน การสังเกตและการบันทึกพัฒนาการเด็กสามารถใช้แบบง่ายๆ
คือ
๑.๑ แบบบันทึกพฤติกรรมใช้บันทึกเหตุการณ์เฉพาะอย่าง
โดยบรรยายพฤติกรรมเด็กผู้บันทึกต้องบันทึกทุกวัน เดือน ปีเกิดของเด็ก และวัน เดือน
ปีที่ทาการบันทึกแต่ละครั้ง
๑.๒ การบันทึกรายวันเป็นการบันทึกเหตุการณ์หรือประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชั้นเรียนทุกวัน
ถ้าหากบันทึกในรูปแบบของการบรรยายก็มักจะเน้นเฉพาะเด็กรายที่ต้องการศึกษา
ข้อดีของการบันทึกรายวัน คือ การชี้ให้เห็นความสามารถเฉพาะอย่างของเด็ก
จะช่วยกระตุ้นให้ผู้สอนได้พิจารณาปัญหาของเด็กเป็นรายบุคคล
ช่วยให้ผู้เชี่ยวชาญมีข้อมูลมากขึ้นสาหรับวินิจฉัยเด็กว่าสมควรจะได้รับคาปรึกษาเพื่อลดปัญหาและส่งเสริมพัฒนาการของเด็กได้อย่างถูกต้อง
นอกจากนั้นยังช่วยชี้ให้เห็นข้อดีข้อเสียของการจัดกิจกรรมและประสบการณ์ได้เป็นอย่างดี
๑.๓
แบบสารวจรายการช่วยให้สามารถวิเคราะห์เด็กแต่ละคนได้ค่อนข้างละเอียดเหมาะสมกับเด็กระดับปฐมวัย
๒. การสนทนา สามารถใช้การสนทนาได้ทั้งเป็นกลุ่มหรือรายบุคคล
เพื่อประเมินความสามารถในการแสดงความคิดเห็นและพัฒนาการใช้ภาษาของเด็กและบันทึกผลการสนทนาลงในแบบบันทึกพฤติกรรมหรือบันทึกรายวัน
๓. การสัมภาษณ์ด้วยวิธีพูดคุยกับเด็กเป็นรายบุคคลและควรจัดในสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมเพื่อไม่ให้เกิดความเครียดและวิตกกังวล
ผู้สอนควรใช้คาถามที่เหมาะสมเปิดโอกาสให้เด็กได้คิดและตอบอย่างอิสระ
จะทาให้ผู้สอนสามารถประเมินความสามารถทางสติปัญญาของเด็กและค้นพบศักยภาพในตัวเด็กได้โดยบันทึกข้อมูลลงในแบบสัมภาษณ์
๔. การรวบรวมผลงานที่แสดงออกถึงความก้าวหน้าแต่ละด้านของเด็กเป็นรายบุคคล
โดยจัดเก็บข้อมูลไว้ในแฟ้มผลงาน ( Portfolio
) ซึ่งเป็นวิธีรวบรวมและจัดระบบข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับตัวเด็กโดยใช้เครื่องมือต่างๆรวบรวมเอาไว้อย่างมีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจนแสดงการเปลี่ยนแปลงของพัฒนาการแต่ละด้าน
นอกจากนี้ยังรวมข้อมูลอื่นๆ เช่น แบบสอบถามผู้ปกครอง แบบสังเกตพฤติกรรม
แบบบันทึกสุขภาพอนามัย ฯลฯ เอาไว้ในแฟูมผลงาน
เพื่อผู้สอนจะได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับตัวเด็กอย่างชัดเจนและถูกต้อง
การเก็บผลงานของเด็กจะไม่ถือว่าเป็นการประเมินผลถ้างานแต่ละชิ้นถูกรวบรวมไว้โดยไม่ได้รับการประเมินจากผู้สอนและไม่มีการนาผลมาปรับปรุงพัฒนาเด็กหรือปรับปรุงการสอนของผู้สอน
ดังนั้นจึงเป็นแต่การเก็บสะสมผลงานเท่านั้น เช่น แฟูมสะสมผลงานขีดเขียน งานศิลปะ
จะเป็นเพียงแค่แฟูมสะสมงานเด็กถ้าไม่มีการประเมินแฟูมสะสมงานนี้จะเป็นเครื่องมือการประเมินต่อเมื่องานที่สะสมแต่ละชิ้นถูกใช้ในการบ่งบอกความก้าวหน้า
ความต้องการของเด็ก
และเป็นการเก็บสะสมอย่างต่อเนื่องที่สร้างสรรค์โดยผู้สอนและเด็ก
ผู้สอนสามารถใช้พอตโฟลิโออย่างมีคุณค่าสื่อสารกับผู้ปกครอง
เพราะการเก็บผลงานเด็กอย่างต่อเนื่องและสม่าเสมอในแฟูมสะสมงานเป็นข้อมูลให้ผู้ปกครอง
ให้ผู้ปกครองสามารถเปรียบเทียบความก้าวหน้าที่ลูกของตนมีเพิ่มขึ้นจากผลงานชิ้นแรกกับชิ้นต่อๆมา
ข้อมูลในแฟ้มสะสมงานประกอบด้วย ตัวอย่างผลงานการขีดเขียน การอ่าน
และข้อมูลบางประการของเด็กที่ผู้สอนเป็นผู้บันทึก เช่น จานวนเล่มของหนังสือที่เด็กอ่าน
ความถี่ของการเลือกอ่านที่มุมหนังสือในช่วงเวลาเลือกเสรี การเปลี่ยนแปลงอารมณ์
ทัศนคติ เป็นต้น
ข้อมูลเหล่านี้จะสะท้อนภาพของความงอกงามในเด็กแต่ละคนได้ชัดเจนกว่าเกรดการประเมินโดยใช้การให้เกรด
ผู้สอนจะต้องชี้แจงให้ผู้ปกครองทราบถึงที่มาของการเลือกชิ้นงานแต่ละชิ้นที่สะสมในแฟ้มสะสมงาน
เช่น เป็นชิ้นงานที่ดีที่สุดในช่วงระยะเวลาที่เลือกชิ้นงานนั้น
เป็นชิ้นงานที่แสดงความต่อเนื่องของงานโครงการ ฯลฯ
ผู้สอนควรเชิญผู้ปกครองมามีส่วนร่วมในการคัดสรรชิ้นงานที่บรรจุในแฟ้มของเด็ก
ข้อควรพิจารณาในการเลือกเก็บข้อมูลไว้ในแฟ้มผลงาน มีดังนี้ คือ
๔.๑ข้อมูลที่แสดงถึงระดับพัฒนาการและความสำเร็จ
เกี่ยวกับกิจกรรมที่เด็กกระทำซึ่งได้มาจากเครื่องมือการประเมิน
๔.๒ข้อมูลที่รวบรวมจากผลงานต่างๆของเด็ก
อาจให้เด็กช่วยเลือกเก็บด้วยตัวเด็กเอง หรือผู้สอนกับเด็กร่วมกันเลือก
๔.๓ข้อมูลของเด็กที่ได้จากผู้ปกครอง
๕.
การประเมินการเจริญเติบโตของเด็กตัวชี้ของการเจริญเติบโตในเด็กที่ใช้ทั่วๆไป
ได้แก่ น้ำหนัก ส่วนสูง เส้นรอบ เส้นรอบศีรษะ ฟัน และการเจริญเติบโตของกระดูก
แนวทางประเมินการเจริญเติบโต มีดังนี้
๕.๑ การประเมินการเจริญเติบโตโดยการชั่งน้าหนักและวัดส่วนสูงเด็กแล้วนาไปเปรียบเทียบกับเกณฑ์ปกติ
ในกราฟแสดงน้าหนักตามเกณฑ์อายุของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งจะบอกการเจริญเติบโตโดยรวม
วิธีการใช้กราฟมีขั้นตอนดังนี้
เมื่อชั่งน้าหนักเด็กแล้ว นำน้ำหนักมาจุดเครื่องหมายกากบาทลงบนกราฟ
และอ่านการเจริญเติบโตของเด็ก โดยดูดเครื่องหมายกากบาทว่าอยู่ในแถบสีใด
อ่านข้อความที่อยู่บนแถบสีนั้น ซึ่งแบ่งภาวะโภชนาการเป็น ๓ กลุ่ม คือ
น้าหนักตามเกณฑ์น้าหนักค่อนข้างมาก นาหนักค่อนข้างน้อย
หากพบว่าเด็กมีน้าหนักมากหรือน้อยกว่าเกณฑ์มากเกินไปควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
๕.๒ การวัดเส้นรอบศีรษะมีความสาคัญในการติดตามการเจริญเติบโตของสมอง
ในเด็กที่มีเส้นรอบศีรษะเล็กกว่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับวัยอาจแสดงถึงความปกติของสมอง
เช่น สมองเล็กกว่าปกติหรือกะโหลกศีรษะเชื่อมเร็วกว่าปกติ
ซึ่งหากวินิจฉัยได้เร็วและส่งต่อเด็กไปรับการรักษาทันท่วงที
อาจช่วยแก้ไขความพิการนี้ได้ ในทานองเดียวกันถ้าเส้นรอบศีรษะวัดได้มากกว่าปกติเมื่อเปรียบเทียบกับวัยเด็ก
ซึ่งแสดงถึงเด็กมีหัวโตกว่าปกติอาจเกิดจากมีน้าในสมองมากกว่าปกติ
โรคนี้หากวินิจฉัยได้เร็วและเด็กได้รับการรักษาทันท่วงทีก็จะช่วยแก้ไขเป็นปกติได้เช่นกัน
จึงควรวัดเส้นรอบศีรษะในเด็กอายุต่ากว่า ๒ ปี ทุกครั้งที่รับบริการตรวจสุขภาพ
๕.๓
การตรวจสุขภาพปากและฟันคือการตรวจสอบและรักษาสิ่งผิดปกติของฟันและปาก
การรักษาให้ฟันและปากสะอาดและมีสุขภาพดีอยู่เสมอผู้สอนควรแนะนาให้ผู้ปกครอบพาเด็กไปให้ทันตแพทย์ตรวจอย่างสม่าเสมอปีละ
๑-๒ ครั้ง
นอกจากนี้ผู้สอนควรเข้าใจวิธีดุแลฟัน
ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้พิมพ์เผยแพร่เพื่อแนะนาเด็กและผู้ปกครองเพื่อดูแลรักษาฟันให้ดีอยู่เสมอ
เช่น การแปรงฟันได้แนะนาให้วางแปรงตั้งฉากกับตัวฟัน
ถูแปลงไปมาสั้นๆในแนวนอนให้ทั่วถึงฟันทุกซี่ในปากทั้งด้านหน้าและด้านหลังควรแปรงฟันทุกครั้งหลังกินขนมหวานหรือหลังมื้ออาหาร
๕.๔ การรับวัคซีนป้องกันโรคขั้นพื้นฐานการให้ภูมิคุ้มกันโรคต่างๆ
แก่เด็กเป็นสิ่งสำคัญและจาเป็น เพราะจะทำให้เด็กไม่เป็นโรคต่างๆ เช่น โรคตับอักเสบ
โรคโปลิโอ บาดทะยัก ไอกรน และอื่นๆซึ่งอาจจะทาให้เด็กพิการหรือถึงแก่ชีวิตได้
กาหนดเวลาการให้ภูมิคุ้มกันโรคที่กระทรวงสาธารณสุขกาหนดไว้ในสมุดบันทึกสุขภาพแม่และเด็ก
พ.ศ. ๒๕๔๕
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น